แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - melow

หน้า: [1] 2
1
   มีเงินน้อย รายได้น้อยก็อยากลงทุนเหมือนใครเขาบ้าง แต่ด้วยตัวเราเองก็ งบน้อยลงทุนอะไรดี วันนี้เรามีวิธีลงทุนให้กับมือใหม่ที่อยากลงทุนแต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนด้านไหนมาแนะนำ มาดูกันว่าจะมีวิธีลงทุนไหนที่น่าสนใจกันบ้าง

ฝากประจำ
        งบน้อยลงทุนอะไรดี หากยังไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรดี แนะนำให้เริ่มจากการเก็บออมเงินเพื่อให้มีทุนสักก้อน ก่อนที่จะมองหาวิธีการลงทุน การลงทุนต้องใช้เงินเพื่อเริ่มต้น การฝากประจำแม้จะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนน้อย แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะเราจะได้รับเงินต้นที่เราใส่ไปทุกเดือนครบทุกบาททุกสตางค์ พร้อมดอกเบี้ยตามระยะเวลาและเงื่อนไขของการฝากประจำอีกด้วย

การซื้อประกันสะสมทรัพย์
   การซื้อประกันสะสมทรัพย์ เป็นอีกทางเลือกของคนที่กำลังมองหาลู่ทางการลงทุน โดยเฉพาะ มือใหม่ควรลงทุนอะไรดี การซื้อประกันออมทรัพย์ นับเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ มีการการันตีผลตอบแทนในอนาคตเป็นจำนวนที่แน่นอนตามสัญญาตั้งแต่วันเริ่มทำประกัน ใครที่มีงบน้อยก็สามารถแบ่งจ่ายเบี้ยจากก้อนใหญ่ ซอยย่อยเป็นรายเดือนได้ นอกจากการันตีผลตอบแทนแล้ว ยังได้รับความคุ้มครองชีวิตตามสัญญาประกัน หากเราเสียชีวิตในระหว่างสัญญา ผู้ที่อยู่ข้างหลังเราก็จะได้รับเงินจากความคุ้มครองเป็นมรดก ทิ้งไว้ให้คนข้างหลังมีเงินทุนสำหรับดำรงชีวิตต่อไปได้

ลงทุนเปิดธุรกิจ
   การลงทุนเปิดกิจการใครว่าต้องมีเงินก้อนโตเพียงอย่างเดียว มีหลายธุรกิจที่เริ่มต้นจากงบหลักร้อยหลักพัน เลือกธุรกิจที่เรามองเห็นโอกาส สามารถลุกมาทำได้เลย โดยที่ไม่ต้องรอให้มีเงินทุนมาก เช่น เปิดร้านขายขนมหรือของกินเล็ก ๆ ขายหมูปิ้ง แซนด์วิชก่อนไปทำงาน หรือขายของช่วงวันหยุด หรือทำธุรกิจออนไลน์ เป็นต้น มือใหม่ควรลงทุนอะไรดี การเป็นเจ้าของธุรกิจถือเป็นอีกหนทางของการลงทุนที่เราสามารถเก็บเกี่ยวกำไรจากการขายได้ทุกวัน แม้จะได้วันละเล็กละน้อย แต่หากเก็บสะสมทุกวันก็ทำให้เรามีเงินออมงอกเงยได้เช่นกัน เผลอ ๆ การลงทุนเปิดกิจการเล็ก ๆ นี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจใหญ่โตได้ในอนาคต การลงทุนแบบนี้ยิ่งวางแผนเร็วยิ่งได้เปรียบ

   นอกจากนี้ ยังมีวิธีการลงทุนสำหรับคนงบน้อยที่น่าสนใจอีกมากมายที่มือใหม่สามารถลงทุนได้ อาทิ เช่น การซื้อประกันสะสมทรัพย์ ลงทุนหุ้น ลงทุนตราสารหนี้ ทุกการลงทุนมีเงื่อนไขและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน หากคิดในแง่ดี การที่เราหาทางลงทุนมีความเสี่ยงน้อยกว่าการที่เราเก็บเงินไว้กับธนาคารเฉย ๆ เพราะสุดท้ายแล้ว เงินออมเพียงเล็กน้อยกับจำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับ ก็ไม่สามารถเอาชนะค่าของเงินเฟ้อได้ หากไม่อยากให้เงินเราเสียมูลค่าลงไปอย่างเปล่าประโยชน์ แนะนำให้หาวิธีการลงทุนให้เงินงอกเงย โดยเป็นการลงทุนที่เราได้ศึกษาเองอย่างละเอียด และรับความเสี่ยงได้จะดีกว่า




2

การเบิกจ่ายตรงสำหรับข้าราชการเป็นสิทธิที่สำคัญ ที่ช่วยให้ข้าราชการสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวกสบาย แต่หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างในการขอเบิกจ่ายตรง วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเช็กสิทธิเบิกจ่ายตรงและเอกสารที่จำเป็นต้องใช้กัน

สิทธิในการเบิกจ่ายตรง

ข้าราชการมีสิทธิในการเบิกจ่ายตรง ซึ่งหมายถึงการที่ข้าราชการสามารถรับบริการทางการแพทย์โดยไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน โดยจะมีการเบิกจ่ายจากหน่วยงานที่ดูแลให้ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล

ขั้นตอนตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาล

การเช็กสิทธิเบิกจ่ายตรงนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยมีขั้นตอนดังนี้:

1. **เข้าสู่เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง**: ข้าราชการสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของหน่วยงานที่ดูแลสิทธิการรักษาพยาบาล เช่น สำนักงานประกันสังคม หรือกระทรวงการคลัง
2. **กรอกข้อมูลส่วนตัว**: โดยทั่วไปจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขประจำตัวประชาชน ชื่อ-นามสกุล และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
3. **ตรวจสอบสถานะสิทธิ**: หลังจากกรอกข้อมูลแล้ว ระบบจะทำการตรวจสอบสิทธิและแสดงผลให้ทราบว่า สามารถเบิกจ่ายตรงได้หรือไม่

เอกสารที่ต้องเตรียมในการเบิกจ่ายตรง

เมื่อเช็กสิทธิแล้ว หากพบว่าสามารถเบิกจ่ายตรงได้ ข้าราชการจะต้องเตรียมเอกสารต่อไปนี้เพื่อใช้ในการเบิกจ่าย:

1. **บัตรประจำตัวประชาชน**: เพื่อยืนยันตัวตนและสิทธิในการเบิกจ่าย
2. **เอกสารรับรองสิทธิ**: เช่น หนังสือรับรองจากหน่วยงานที่ทำงานอยู่ หรือเอกสารที่แสดงถึงสถานะข้าราชการ
3. **ใบเสร็จรับเงิน**: ในกรณีที่มีการสำรองจ่ายก่อน ต้องมีใบเสร็จรับเงินจากสถานพยาบาล
4. **เอกสารการรักษาพยาบาล**: เช่น รายงานการรักษา หรือใบส่งตัวจากแพทย์ เพื่อยืนยันการรักษาที่เกิดขึ้น

คำแนะนำในการเตรียมเอกสาร

เพื่อให้การเบิกจ่ายตรงเป็นไปอย่างราบรื่น ข้าราชการควรตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องก่อนที่จะนำไปยื่นเบิกจ่าย นอกจากนี้ ควรเก็บสำเนาเอกสารไว้เพื่อใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบในอนาคต


การเช็คสิทธิการรักษาเบิกจ่ายตรงสำหรับข้าราชการเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวกสบาย โดยการเตรียมเอกสารที่ถูกต้องและครบถ้วนจะทำให้การเบิกจ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเบิกจ่ายตรง สามารถติดต่อหน่วยงานที่ดูแลสิทธิการรักษาพยาบาลได้โดยตรง



3

การซื้อบ้านเป็นการลงทุนที่สำคัญ ซึ่งมักมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูง โดยเฉพาะดอกเบี้ยผ่อนบ้าน และค่าโอนบ้านและค่าจดจำนองที่สามารถเพิ่มภาระทางการเงินได้อย่างมาก ในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีการลดภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ เพื่อให้คุณสามารถซื้อบ้านได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เข้าใจค่าใช้จ่ายในการโอนบ้าน

ค่าโอนบ้านคืออะไร?

ค่าโอนบ้านคือค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ โดยปกติแล้ว ค่าโอนบ้านจะอยู่ที่ประมาณ 2% ของราคาประเมินที่ดินหรือราคาซื้อขายบ้าน ขึ้นอยู่กับกฎหมายและข้อบังคับในแต่ละจังหวัด

ค่าจดจำนองคืออะไร?

ค่าจดจำนองคือค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเมื่อต้องการจดจำนองบ้านเพื่อขอสินเชื่อจากธนาคาร โดยค่าจดจำนองมักจะอยู่ที่ประมาณ 1% ของวงเงินกู้ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้กู้ต้องคำนึงถึงเมื่อวางแผนการเงิน

วิธีลดค่าโอนบ้าน

1. ต่อรองราคา

การต่อรองราคากับผู้ขายสามารถช่วยลดค่าโอนบ้านได้ โดยเฉพาะหากบ้านมีราคาสูงกว่าราคาประเมิน การตกลงราคาที่เหมาะสมจะทำให้ค่าโอนบ้านลดลงตามสัดส่วน

2. ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี

ในบางกรณี ผู้ซื้อบ้านสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ เช่น การลดหย่อนภาษีจากการซื้อบ้านครั้งแรก ซึ่งสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้

3. ใช้บริการนายหน้า

การใช้บริการนายหน้าที่มีความเชี่ยวชาญสามารถช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับค่าโอนบ้าน รวมถึงการเจรจาต่อรองราคาที่ดีกว่า

วิธีลดค่าจดจำนอง

1. เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย

การเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารหลายแห่งจะช่วยให้คุณเลือกสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด ซึ่งจะช่วยลดค่าจดจำนองในระยะยาว

2. เลือกวงเงินกู้ที่เหมาะสม

การเลือกวงเงินกู้ที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการจดจำนอง ควรคำนวณความสามารถในการชำระหนี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ

3. ใช้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน

การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินสามารถช่วยให้คุณมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกสินเชื่อและการจัดการค่าใช้จ่ายในการจดจำนอง
การลดภาระค่าโอนบ้านและค่าจดจำนองเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อบ้านควรให้ความสนใจ การต่อรองราคา, ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี, และการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ หากคุณกำลังมองหาบ้านใหม่ อย่าลืมใช้วิธีเหล่านี้เพื่อให้การซื้อบ้านของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและประหยัดค่าใช้จ่าย

หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อบ้านหรือการจัดการเงิน สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือที่ปรึกษาทางอสังหาริมทรัพย์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณได้เลย!

กู้ซื้อที่ดิน https://krungthai.com/th/financial-partner/learn-financial/2126



4
   สำหรับนักเดินทางที่ท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยเครื่องบินเป็นประจำ คงสามารถจำทุก ขั้นตอนการขึ้นเครื่องบิน ได้อย่างขึ้นใจ จนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่หรือทบทวนก่อนเดินทาง แต่สำหรับคนที่ ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก คงรู้สึกตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก เพราะรู้สึกไม่แน่ใจในขั้นตอนของการขึ้นเครื่องบิน กลัวจะไปทำตัวลนลานจนเสียเวลาทั้งตนเองและคนอื่น ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจ 7 ขั้นตอนที่อยู่ในเช็กลิสต์ที่ต้องจำให้ขึ้นใจก่อนไปขึ้นเครื่องบิน

เตรียมเอกสารและซื้อ ประกันเดินทาง
ต้องเตรียมเอกสารจำเป็นทุกอย่างให้พร้อมก่อนออกจากบ้าน เช่น บัตรประชาชน หลักฐานการซื้อตั๋ว และพาสปอร์ต นอกจากนั้นควรซื้อ ประกันเดินทางต่างประเทศ เพื่อคุ้มครองและชดเชยในกรณีเกิดอุบัติต่าง ๆ ระหว่างทริป

เช็กอินออนไลน์หรือเคาน์เตอร์ของสายการบิน
หลังจากนั้นต้องเดินทางไปที่สนามบินเพื่อทำการเช็กอิน โดยสามารถทำได้หลากหลายช่องทางในปัจจุบัน ทั้งหน้าเคาน์เตอร์ของสายการบิน เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของสายการบินด้วย ใครที่มีกระเป๋าอยากจะโหลดลงใต้เครื่องบิน สามารถส่งให้พนักงานได้ในขั้นตอนนี้ สิ่งสำคัญคือควรเช็กอินก่อนเที่ยวบินอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หลังจากนี้เราจะได้รับ Boarding Pass ที่บอกรายละเอียดการบินต่าง ๆ

สแกนสัมภาระก่อนขึ้นเครื่อง
ต่อจากนั้นผู้เดินทางต้องเดินผ่านเครื่องสแกนเพื่อตรวจสอบสัมภาระที่จะนำขึ้นเครื่องบิน ต้องระวังอย่านำของต้องห้ามต่าง ๆ เช่น ของเหลวปริมาตรมากกว่า 100 มิลลิลิตร ของมีคม อาวุธ วัตถุระเบิด ขึ้นเครื่องบินเป็นอันขาด

รอหน้าเกต
เมื่อผ่านด่านตรวจต่าง ๆ มาแล้ว ให้ไปเดินหาเกตที่เชื่อมไปสู่เครื่องบินที่ถูกต้อง โดยสามารถดูข้อมูลได้ใน Boarding Pass หรือบนหน้าจอที่แสดงในสนามบิน

ขึ้นเครื่องบินแล้วนั่งตามที่นั่ง
เมื่อถึงเวลาจะมีประกาศให้ขึ้นเครื่อง โดยต้องนั่งตามที่นั่งที่ระบุไว้บน Boarding Pass เท่านั้น

รับกระเป๋าเดินทาง
เมื่อเดินทางถึงที่หมายให้ดูว่าต้องไปรับกระเป๋าที่สายพานไหน แล้วไปเก็บสัมภาระของตัวเองมาให้พร้อม อย่าลืมตรวจสอบว่าข้าวของที่เอามาได้รับครบถ้วนหรือไม่ ถ้าสูญหายหรือชำรุดต้องทำการเคลม ประกันเดินทาง เพื่อรับความคุ้มครองตามสิทธิ์ที่มี

ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของต่างประเทศ
หลังจากนั้นต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่อาจจะมีการถามคำถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทาง เพื่อคัดกรองคนจากต่างประเทศ เพียงแค่มั่นใจและตอบคำถามอย่างถูกต้อง ไม่หลอกลวง แสดงเอกสารตามที่พนักงานร้องขอ เพียงเท่านี้คุณจะสามารถเริ่มทริปในฝันได้ทันที

จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนการขึ้นเครื่องบิน ถึงจะมีหลายขั้นตอนแต่ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแค่เตรียมตัวให้พร้อมและอย่าลืมมองหา ประกันเดินทางต่างประเทศ ที่ถูกใจไว้สร้างความอุ่นใจและให้การคุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้เดินทางในขณะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยในต่างประเทศ  และอย่าลืมวางแผนล่วงหน้าและตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงการจองโรงแรม    การ จอง ห้อง พัก  เพื่อให้การเดินทางของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น




5
การโอนเงินไปต่างประเทศก่อนหน้านี้อาจจะดูเหมือนยุ่งยาก เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการ 3 - 5 วัน ทั้งยังจะต้องไปทำธุรกรรมที่ธนาคารหรือตัวแทนรับโอนเงินที่มีใบอนุญาตเท่านั้น เช่น MoneyGram และ Western Union ซึ่งแต่ละแห่งต่างมีอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรเปรียบเทียบความคุ้มค่าก่อนโอน นอกจากนี้ผู้โอนยังต้องแจ้งวัตถุประสงค์การโอนทุกครั้งที่ทำรายการเนื่องจากเป็นหลักเกณฑ์การ โอนเงินไปต่างประเทศ ของธนาคารแห่งประเทศไทย และหากเป็นผู้รับเงินโอนจากต่างประเทศมากกว่า 50,000 USD จะต้องใช้เอกสารประกอบการรับเงินตามวัตถุประสงค์ของเงินโอนด้วย

ปัจจุบันการ โอนเงินไปต่างประเทศ ง่ายและสะดวกขึ้นด้วยการใช้รหัสธนาคารหรือ Swift Code ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารต่าง ๆ โดยการ โอนเงินแบบ swift code จะช่วยให้การรับหรือ การโอนเงินระหว่างประเทศ สามารถดำเนินการผ่านบัญชีที่เปิดในประเทศไทยได้โดยตรงจึงคล่องตัวและรวดเร็วกว่า
สำหรับการ โอนเงินไปต่างประเทศ swift code คือรหัสที่ต้องใช้เพื่อระบุธนาคารและสาขาของธนาคาร เนื่องจากเป็นการโอนเงินระหว่างธนาคารและข้ามประเทศจึงต้องปฏิบัติตามมาตรฐานขององค์การระหว่างประเทศ โดยมี SWIFT หรือ Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการลงทะเบียนรหัส ซึ่งนอกจากจะเรียกว่า Swift Code แล้ว รหัสนี้ยังถูกเรียกอีกชื่อว่า BIC Code หรือ Bank Identifier Code ด้วย
ด้วยความรวดเร็ว ง่าย และคล่องตัว ธุรกรรมการเงินออนไลน์จึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน รวมทั้งการ โอนเงินต่างประเทศผ่านแอพ ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก สามารถทำได้ด้วยตนเองเพียงแค่ต้องระบุ Swift Code ในระหว่างการกรอกข้อมูลเพื่อโอนเงิน โดยสอบถามรหัส Swift Code ได้ที่ธนาคารเจ้าของแอป เว็บไซต์ของธนาคาร และเว็บไซต์ที่รวบรวม Database เช่น www.swiftcodetoday.com
การ โอนเงินแบบ swift code ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารนั้น ปลายทางจะได้รับเงินรวดเร็วแบบเรียลไทม์ตั้งแต่ 2 วินาที จนถึง 3 วันทำการ ซึ่งระยะเวลาจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับประเทศปลายทางด้วย ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT 
ประเทศปลายทาง
สกุลเงิน
ระยะเวลารับเงิน
กลุ่มสหราชอาณาจักร (UK)
GBP
ภายใน 5 นาที - 1 วัน
สิงคโปร์ (SG)
SGD
ภายใน 5 นาที - 1 วัน
สหรัฐอเมริกา (US)
USD
ภายใน 1 - 2 วันทำการ
ฮ่องกง (HK)
HKD
ภายใน 1 - 2 วันทำการ


นอกจากแอปพลิเคชันจะช่วยให้การโอนเงินรวดเร็วทันใจแล้ว ค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างประเทศ ยังถูกกว่าทำธุรกรรมผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารอีกด้วย ซึ่งโดยทั่วไปธนาคารมักจะคิดค่าธรรมเนียมรับเงินโอนจากต่างประเทศเฉลี่ย 0.25% ของยอดเงินที่โอนมา ต่ำสุด 200 บาท สูงสุด 500 บาท และอาจจะมีค่าธรรมเนียมที่ถูกหักเพิ่มเติมระหว่างธนาคารตัวกลางหรือธนาคารต้นทาง สำหรับการโอนเงินไปต่างประเทศค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ 300 - 500 บาท ต่อรายการและอาจจะมีการบวกเพิ่ม 0.05% ของยอดเงินโอน แต่การ โอนเงินต่างประเทศผ่านแอพ จะมีค่าธรรมเนียมถูกกว่า ยกตัวอย่างเช่น  การโอนเงินแบบ Swift Code ผ่าน Krungthai NEXT มีค่าธรรมเนียม Charge Ben 300 บาท Charge Our 1,100 - 1,500 บาท หากโอนผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารค่าธรรมเนียม Charge Ben 400 บาท Charge Our 1,200 - 1,600 บาท ทั้งนี้แต่ละธนาคารจะมีการกำหนดค่าธรรมเนียม อัตราแลกเปลี่ยน และโปรโมชั่นที่แตกต่างกัน เพื่อความคุ้มค่าจึงควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมก่อนใช้บริการทุกครั้ง

การโอนเงินไปต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชันสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาจึงสะดวกรวดเร็วไม่ต้องรอนาน อีกทั้งค่าธรรมเนียมการโอนยังถูกกว่า จึงคุ้มค่าทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย



6
ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ การทำประกันสุขภาพจึงกลายเป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับคนไทยหลายคน นอกจากจะช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า "ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีได้จริงไหม?" ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับประกันสุขภาพและข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อกัน

1. ประกันสุขภาพคืออะไร?

ประกันสุขภาพเป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกัน โดยบริษัทจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้เอาประกันภัยในกรณีที่เกิดอาการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

2. ประกันลดหย่อนภาษีได้หรือไม่?

คำตอบคือ "ได้" โดยตามกฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย ผู้ที่ซื้อประกันสุขภาพสามารถนำเบี้ยประกันไปหักลดหย่อนภาษีได้ โดยมีขีดจำกัดที่ 25,000 บาทต่อปี ซึ่งหมายความว่าหากคุณซื้อประกันสุขภาพในจำนวนเงินที่ไม่เกินนี้ คุณจะสามารถลดภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง

3. ข้อดีของการทำประกันสุขภาพ

3.1 คุ้มครองค่าใช้จ่าย

การทำประกันสุขภาพช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สูงเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

3.2 ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษี

การซื้อประกันสุขภาพไม่เพียงแต่ช่วยคุ้มครองสุขภาพ ยังช่วยลดภาระภาษีได้อีกด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ที่หลายคนมองข้าม ถ้าถามว่าประกันสุขภาพลดหย่อนได้เท่าไหร่ ก็คงจะตอบได้ว่า ได้สูงสุดถึง 25,000 บาทต่อปี
3.3 สร้างความมั่นใจ

การมีประกันสุขภาพช่วยให้คุณมีความมั่นใจในการใช้บริการทางการแพทย์ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น

4. ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ

4.1 ตรวจสอบความคุ้มครอง

ควรตรวจสอบรายละเอียดความคุ้มครองของประกันสุขภาพที่คุณสนใจ ว่าครอบคลุมโรคหรืออุบัติเหตุที่คุณกังวลหรือไม่

4.2 เปรียบเทียบราคา

การเปรียบเทียบราคาจากหลายบริษัทประกันจะช่วยให้คุณได้ประกันที่คุ้มค่าที่สุด โดยไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันที่สูงเกินไป

4.3 อ่านเงื่อนไขให้ละเอียด

เงื่อนไขการทำประกันสุขภาพอาจมีข้อกำหนดที่ซับซ้อน ควรอ่านและทำความเข้าใจให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต


4.4 สอบถามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประกันสุขภาพ ควรสอบถามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทประกันภัยโดยตรง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับความต้องการของคุณ

4.5 วางแผนการเงิน

การทำประกันสุขภาพเป็นการลงทุนในอนาคต ควรวางแผนการเงินให้ดี เพื่อให้สามารถจ่ายเบี้ยประกันได้อย่างต่อเนื่อง

การทำประกันสุขภาพไม่เพียงแต่ช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ยังสามารถลดหย่อนภาษีได้จริง แต่การตัดสินใจซื้อควรพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ประกันที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินของคุณ

   

7
   ในการเลือกสมัครบัตรเครดิตเพื่อนำมาใช้งานสักใบสิ่งที่มีความสำคัญในการเลือก นั่นคือสิทธิประโยชน์ที่บัตรมีให้ ทั้งการสะสมแต้ม หรือเครดิตเงินคืน (Cashback) ที่จะช่วยให้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

   แล้ว เครดิตเงินคืนคือ อะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อการเลือกสมัครบัตรเครดิต วันนี้มีข้อมูลมาบอกกล่าวให้ทราบ พร้อมทั้งเทคนิคการเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์การช้อปของแต่ละคน

เครดิตเงินคืน (Cash Back) คืออะไร
   เครดิตเงินคืนคือ ยอดเงินที่เราจะได้รับกลับคืนมาจากการใช้จ่ายผ่านบัตรในการซื้อสินค้าหรือบริการ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น หากเราซื้อ แท็บเล็ตวาดภาพ ที่เข้าร่วมโปรโมชั่น Cash Back 3 % ในราคาเครื่องละ 10,000 บาท หรือนาฬิกาออกกำลังกาย เราก็จะได้รับเครดิตเงินคืนกลับเข้ามาภายในบัตรจำนวน 300 บาท เป็นต้น ซี่งสร้างความคุ้มค่าให้กับการใช้จ่ายของเราเป็นอย่างมาก

บัตรเครดิต Cash Back เหมาะกับใคร
   โดยบัตรเครดิตเงินคืนนี้ยิ่งจะทวีความคุ้มค่ามากขึ้น หากเราเป็นคนที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตอยู่เป็นประจำ ทั้งการซื้อของใช้ การเติมน้ำมันในการเดินทาง หรือแม้แต่ในมื้ออาหารก็ใช้จ่ายผ่านบัตรเพื่อให้ได้รับ Cash Back กลับคืนมาได้ จะทานอาหารปิ้งย่าง ชาบู หรือ บุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ก็ยังคุ้มค่า

เลือกบัตรเครดิตแบบไหนที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งาน
   ผลิตภัณฑ์บัครเครดิตนั้นมีให้เลือกมากมายหลายประเภท การเลือกบัตรเครดิตเพื่อนำมาใช้งานที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิต จะทำให้เกิดความคุ้มค่าเมื่อต้องใช้งาน ยิ่งใช้ยิ่งได้เงินคืน แต่เราจะเลือกบัตรแบบไหนดี วันนี้มีตัวอย่างมาแนะนำสักเล็กน้อย
   - ผู้ที่ชอบช้อปออนไลน์
   การช้อปปิ้งออนไลน์ถือเป็นวิถีชีวิตของคนยุคสมัยใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย โดยบัตรที่เหมาะสำหรับนักช้อปกลุ่มนี้คือ บัตรเครดิต กรุงศรี นาว แพลทินัม ที่จะได้รับเครดิตเงินคืนสูงถึง 5 % ในการซื้อสินค้าทุกเว็บไซต์และทุกแอปพลิเคชันออนไลน์
   - ผู้ที่ชอบการทานอาหารในร้านชั้นนำ
   ในบางครั้งมื้อพิเศษในร้านอาหารดี ๆ สักร้าน ก็ช่วยเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขได้เป็นอย่างดี โดยบัตรที่เหมาะสมคือ บัตรเครดิต กรุงศรี ซิกเนเจอร์ ที่นอกจากจะมีแต้มสะสมในการรับประทานอาหารแล้ว ยังได้รับเครดิตเงินคืนเมื่อเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันบางจากสูงถึง 3%
   - คนรักบ้าน
   บ้านคือวิมานของเรา หลายคนชอบในการตกแต่งบ้าน บัตรที่เหมาะสมคือ บัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ที่นอกจากจะได้ส่วนลดในการซื้อสินค้าที่โฮมโปรทุกสาขาแล้ว ยังมีเครดิตเงินคืนจากการเติมน้ำมันที่ปั๊มบางจากด้วย

   นอกจากนี้บัตรเครดิตจากกรุงศรียังมีให้เลือกอีกมากมายหลายแบบ โดยสามารถดูสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของบัตร ได้ที่ https://www.krungsricard.com/th/Product/ เพื่อประกอบการตัดสินใจ

   การใช้บัตรเครดิต นอกจากจะช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันมีความสะดวกสบายแล้ว ยังได้รับสิทธิพิเศษจากบัตรที่มีให้อีกด้วย แต่ที่สำคัญต้องรักษาเครดิตทางการเงิน ไม่ชำระช้าหรือค้างชำระ เพื่อโอกาสในการขอ เพิ่มวงเงินบัตรเครดิต ในอนาคต




8
   
        ไปเที่ยวญี่ปุ่นยังไงก็ต้องไปฮอกไกโดสักครั้ง ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองห้ามพลาดเลยเมื่อมาเยือนญี่ปุ่น เมืองฮอกไกโดคนไทยเราอาจจะคุ้นหูกันดี เพราะเมื่อพูดถึงก็จะคุ้นกับเมนูนมฮอกไกโดที่ขึ้นชื่อ ฮิตจนขนาดที่คาเฟ่และร้านขนมในไทยนำมาใช้เป็นส่วนผสมชูจุดขายของร้านเลยทีเดียว แต่ว่าฮอกไกโดจะมีดีแค่ผลิตภัณฑ์นมอย่างเดียวหรือเปล่า ที่นี่จะมีอะไรน่าเที่ยวน่าซื้อกลับมาเป็นของฝากอีกบ้างตามไปดูกัน
   จังหวัดฮอกไกโดเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น ความพิเศษของที่นี่คือมีอากาศหนาวเย็น อีกทั้งที่นี่ยังมีสกีรีสอร์ตอันดับต้น ๆ ของโลกด้วย ถ้าถามว่าควรจะไป เที่ยวฮอกไกโดเดือนไหนดีก็ควรจะไปในช่วงหน้าหนาวหรือในระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ จะ เที่ยวญี่ปุ่นเดือนไหนดี ที่สุดก็ต้องช่วงนี้แหละ โดยเขาจะมีจัดเทศกาลหิมะทุกปีที่เมืองซัปโปโร เรียกกันว่าเทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) เขาจะมีการแกะสลักหิมะเป็นรูปต่าง ๆ แถมยังมีการประกวดแข่งขันการแกะหิมะด้วย ซึ่งตัวแทนจากประเทศไทยก็เคยชนะเลิศการแข่งขันนี้มาแล้วด้วย ใครที่ชอบหิมะและความหนาวเย็นต้องห้ามพลาดต้องได้ไปสัมผัสบรรยากาศด้วยตัวเองสักครั้ง
    นอกจากนั้นแล้วยังมีนิงเกิ้ลเทอเรส (Ningle Terrace) จุดเช็กอินสุดฮิตที่เหมือนหลุดไปในเทพนิยาย  เป็นบ้านกระท่อมไม้กลางป่าใหญ่รายล้อมไปด้วยหิมะขาวโพลน มีของฝากของกินเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นขนม เทียนหอม งานไม้ และงานฝีมืออื่น ๆ อีกมากมาย
   ที่ฮอกไกโดมีโรงงานช็อกโกแลตชื่อดังอย่างโรงงาน ชิโรอิ โคอิบิโตะ โรงงานขนมของบริษัท Ishiya ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมกระบวนการผลิตช็อกโกแลตและขนมทุกขั้นตอนอย่างละเอียด แน่นอนว่าต้องมีแวะซื้อขนมจากที่นี่เป็นของฝากติดไม้ติดมือ ขนมและช็อกโกแลตจากที่นี่อร่อยมาก ๆ หาซื้อไม่ได้จากที่ไทย
   ไม่เฉพาะแค่ขนมและช็อกโกแลตที่ฮอกไกโดเข้าขึ้นชื่อมากเรื่องการปลูกเมล่อน ของฝากที่ไม่ควรพลาดก็คือเมล่อนไม่ว่าจะเป็นผลไม้สด ๆ หรือจะเป็นแบบแปรรูปที่นำไปทำเป็นขนมและเครื่องดื่มหลากหลาย อร่อยถูกใจแน่นอน
   ใครมีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นอยากให้แวะไปฮอกไกโดกินบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ไปญี่ปุ่นไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว ใครที่กังวลว่า ไปญี่ปุ่นต้องขอวีซ่าไหม หายห่วงได้ เขามีฟรีวีซ่าให้คนไทย 15 วัน เตรียมตัวเตรียมกระเป๋าให้พร้อมก่อนออกเดินทาง อย่าลืมพกบัตรเครดิต กรุงศรี เจซีบี แพลทินัม บัตรใบเดียวที่ทำให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นของคุณคุ้มค่าด้วยเครดิตเงินคือที่มากถึง 1% ในทุกการจับจ่ายที่ญี่ปุ่น ดูรายละเอียดอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungsricard.com/th/Product/creditcard/krungsri-jcb



9
หากใครที่กำลังลังเลสงสัยว่าการจะมี​บัตรเครดิต สักใบนั้นทำยากหรือ​เปล่า​ ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร​ ใช้เวลาสมัครนานไหม​ เรามีคำตอบมาแบ่งปัน

คุณสมบัติโดยทั่วไป
1. ฐานเงินเดือน​ โดยพื้นฐานแล้วผู้ที่จะสามารถทำบัตรเครดิตได้นั้น​ ต้องมี​ราย​รับประจำที่แน่นอน​ หรือต้องมีเงินเดือนนั่นเอง​ ซึ่งส่วนใหญ่ธนาคาร​จะ​มี​ข้อ​กำหนดว่า​ ต้องมีฐานเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท​
2. ระยะเวลาในการทำงาน​ เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการทำบัตร​เพราะ​ส่วน​ใหญ่ทางธนาคารจะขอเอกสารรับรองเงินเดือน​ อย่างเช่น​ สลิป​เงินเดือน​ หรือ​ Statement ย้อนหลัง​ 6 เดือน เพื่อเป็นเครื่องการันตี​ถึง​การ​ทำงาน​ ว่าเรามีความมั่นคงในหน้าที่มาแล้วเกินกว่า​ 6 เดือน
3. ประวัติทางการเงิน ทางธนาคารจะพิจารณาวินัยทางการเงินของ​ผู้​สมัคร​ร่วมด้วย​ ว่าเคยผิดนัดชำระหนี้​ หรือเคยติดแบล็คลิสต์เครดิตบูโร​หรือไม่​ ซึ่งคุณสมบัติส่วนนี้ก็มีความสำคัญที่จะสามารถชี้ชะตาผู้สมัคร​ได้ว่า​ จะผ่านหรือไม่ผ่าน

        หากเช็กลิสต์ว่ามีคุณสมบัติดีผ่านทุกข้อแล้ว​ก็มาเตรียมพร้อมกับ​การ​ทําบัตรเครดิต กันได้​ และที่สำคัญทุกวันนี้ไม่ต้องเสียเวลา​เดิน​ทาง​ไป​ต่อ​คิว​ที่​ธนาคารสาขาใกล้บ้าน​อีก​ต่อไป​ เพราะธุรกรรมทุกอย่างสามารถทำได้ผ่านเครือข่าย​ออน​ไลน์กันหมดแล้ว​ จึงไม่ใช่​เรื่องแปลกใหม่ที่​เรา​จะ​สามารถ​ สมัครบัตรเครดิต​ออนไลน์​ ผ่านทางช่องทาง​ออนไลน์​ได้ง่าย  ๆ​ จะสะดวก​ง่าย​ดายและมีขั้นตอน​อย่างไรบ้างนั้น​ ไปดูกันเลย

1. เข้าเว็บไซต์ของธนาคาร​ที่ต้องการ​สมัคร​ แล้วเลือกประเภทของบัตร​เครดิต​ที่ต้องการให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง​ เพราะแต่ละบัตร​จะมี​รูป​แบบ​การ​ใช้งานที่เหมาะสมต่างกันออกไป​ เช่น​ บัตรเครดิต​สำหรับ​ผู้หญิง​ที่เน้นการช็อปปิง​ หรือบัตรเครดิตที่เหมาะกับการท่องเที่ยว​นำไป​ใช้​จ่าย​ที่​ต่า​ง​ประเทศ​ เป็นต้น​ เมื่อเลือกประเภทที่เหมาะกับตัวเองได้แล้ว​ ก็เข้าสู่​ขั้น​ตอน​ต่อไป

2. กดเข้าไปที่การสมัคร ก็จะเชื่อมโยงไปยังหน้ารายละเอียดของบัตร​จากนั้นทำการกดสมัครผ่านทางเว็บไซต์
3. กรอกข้อมูลที่จำเป็นของผู้สมัคร​ เช่น​ ชื่อ​ นามสกุล​ รายได้ประจำ​จังหวัด​ที่อยู่​ และเบอร์ติดต่อกลับ​ เพียงเท่านี้ก็เป็นการเสร็จสิ้นการ​ สมัครบัตรเครดิต​ออนไลน์​ ง่าย ๆ​ สามารถทำที่ไหนก็ได้
หลังจากการกรอกข้อมูลสมัคร​ บัตรเครดิต​ ในเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว​ ขั้น​ตอนต่อไปคือ​ รอทางเจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับเพื่อขอเอกสารเพิ่มเติม​ เช่น​ สำเนาบัตร​ประจำตัวประชาชน​ สลิป​เงินเดือน​ หรือ​ Statement ย้อน​หลัง​

       ส่วนวงเงินในบัตรที่จะได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือนและหลัก​เกณฑ์​การ​พิจารณาของแต่ละธนาคาร​ และสำหรับใครที่กำลังมองหาบัตรเครดิต​สัก​ใบไว้เป็นเงินสำรองในการใช้จ่าย​ สามารถเข้ามาอ่านรายละเอียดบัตร​เครดิตของกรุงศรี ​ เพราะมีโปรโมชั่นบัตรเครดิตที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์หลากหลาย เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับแต่ละคน​



10
 การวางแผนการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การลงทุนมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ในบทความนี้เราจะพูดถึงการลงทุนใน RMF (Retirement Mutual Fund) และ SSF (Super Savings Fund) รวมถึงการลงทุนใน Thai ESG (Environmental, Social, and Governance) เพื่อช่วยให้คุณสามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการวางแผนการเงินของคุณ

ทำความรู้จักกับ RMF และ SSF

RMF (Retirement Mutual Fund)

RMF เป็นกองทุนรวมที่ออกแบบมาเพื่อการเกษียณอายุ โดยมีข้อกำหนดในการลงทุนที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถลดหย่อนภาษีได้ โดยการลงทุนใน RMF จะต้องถือครองกองทุนอย่างน้อย 5 ปี และต้องลงทุนอย่างน้อย 15% ของรายได้ประจำปี

SSF (Super Savings Fund)

SSF เป็นกองทุนรวมที่มีวัตถุประสงค์ในการออมเงิน โดยมีข้อกำหนดในการลงทุนที่คล้ายคลึงกับ RMF แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยสามารถถอนเงินได้หลังจากถือครองกองทุนเป็นเวลา 10 ปี และยังสามารถลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน

Thai ESG คืออะไร?

Thai ESG หมายถึงการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนที่สนใจใน Thai ESG จะมองหาบริษัทที่มีนโยบายที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งสามารถช่วยสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว

วิธีเลือกการลงทุนที่ดีที่สุด

1. กำหนดเป้าหมายการลงทุน
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจลงทุน ควรกำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน เช่น ต้องการออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ หรือเพื่อการศึกษาของบุตร ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะสม

2. พิจารณาความเสี่ยง

การลงทุนใน RMF และ SSF มีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดย RMF อาจมีความผันผวนมากกว่า แต่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า ในขณะที่ SSF มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า แต่ผลตอบแทนอาจไม่สูงมากนัก

3. ตรวจสอบผลการดำเนินงาน

ควรตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุน RMF และ SSF ที่คุณสนใจ รวมถึงกองทุนที่มีแนวทาง ESG เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนของคุณมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

4. พิจารณาด้านภาษี

การลงทุนใน RMF และ SSF จะช่วยให้คุณสามารถลดหย่อนภาษีได้ แต่ควรตรวจสอบข้อกำหนดและเงื่อนไขให้ชัดเจน เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน

การเลือกลงทุนใน RMF, กองทุน ssf ตัวไหนดี 2567 หรือ Thai ESG ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ หากคุณต้องการการลงทุนที่มีความยั่งยืนและมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว Thai ESG อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ในขณะที่ RMF และ SSF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีและวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุ

หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกลงทุนแบบไหน กองทุน rmf ตัวไหนดี 2567 ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ


   

11

การเดินทางท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนในวันหยุด โดยไม่ต้องเสียเวลาในการขับรถไกล ๆ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ 5 สถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้รถยนต์  เพื่อให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย

1. สวนสยาม

สวนสยามเป็นสวนสนุกที่มีความหลากหลายทั้งในเรื่องของเครื่องเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสำหรับทุกวัย ตั้งอยู่ที่เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร การเดินทางไปสวนสยามสามารถใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีอุดมสุข แล้วต่อรถตู้หรือรถแท็กซี่ไปยังสวนสยามได้ง่าย ๆ

สิ่งที่น่าสนใจ
- เครื่องเล่นที่หลากหลาย
- สระน้ำและกิจกรรมทางน้ำ
- ร้านอาหารและของว่างมากมาย

2. ตลาดน้ำตลิ่งชัน

ตลาดน้ำตลิ่งชันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศไทยดั้งเดิม ตั้งอยู่ในเขตตลิ่งชัน การเดินทางสามารถใช้บริการเรือโดยสารจากท่าเรือที่ใกล้เคียง หรือจะนั่งรถประจำทางไปยังตลาดน้ำก็สะดวกสบาย

### สิ่งที่น่าสนใจ
- อาหารไทยพื้นบ้านที่หลากหลาย
- การเลือกซื้อของที่ระลึกจากชาวบ้าน
- บรรยากาศที่เงียบสงบและเป็นธรรมชาติ

## 3. วัดพระแก้ว

วัดพระแก้ว หรือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตพระนคร ที่เที่ยวใกล้ mrt  การเดินทางสามารถใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ลงที่สถานีหัวลำโพง แล้วต่อรถแท็กซี่ไปยังวัดพระแก้ว

สิ่งที่น่าสนใจ
- สถาปัตยกรรมที่งดงาม
- พระแก้วมรกต พระพุทธรูปที่สำคัญ
- การเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย

4. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 2 ชั่วโมง โดยสามารถใช้บริการรถตู้หรือรถบัสที่มีให้บริการจากกรุงเทพฯ

สิ่งที่น่าสนใจ
- เส้นทางเดินป่าและน้ำตกสวยงาม
- ชมสัตว์ป่าในธรรมชาติ
- กิจกรรมตั้งแคมป์และปั่นจักรยาน

5. พัทยา

พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งสามารถเดินทางได้ง่ายจากกรุงเทพฯ โดยใช้บริการรถบัสหรือรถตู้ที่มีให้บริการตลอดทั้งวัน การเดินทางใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

### สิ่งที่น่าสนใจ
- ชายหาดที่สวยงาม
- กิจกรรมทางน้ำ เช่น ดำน้ำและเล่นเจ็ทสกี
- ร้านอาหารและสถานบันเทิงมากมาย


การเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ โดยไม่ต้องขับรถนั้นมีตัวเลือกมากมายที่น่าสนใจ ทั้งสวนสนุก ตลาดน้ำ วัด และอุทยานแห่งชาติ ไม่ว่าคุณจะเลือกที่ไหน ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์ที่น่าจดจำได้อย่างแน่นอน หากคุณกำลังมองหาที่เที่ยวในวันหยุดนี้ อย่าลืมเลือกหนึ่งในสถานที่ที่เราแนะนำไป และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น!



 

12
  บัตรเครดิต กรุงศรี ซิกเนเจอร์ มิติใหม่ของการใช้จ่ายสำหรับคนยุคนี้ โดยเฉพาะลูกค้าบัตรเครดิตฉลาดเลือกที่ต้องการจะบริหารค่าใช้จ่ายให้อยู่หมัดภายในบัตรใบเดียวทั้ง กิน เที่ยว ช็อปของขวัญปีใหม่  นาฬิกาออกกำลังกาย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทุกเจนให้มีอิสระและเข้าสู่สิทธิพิเศษและ โปรโมชั่นบัตรเครดิต สุดคุ้มค่ามากมาย โดยเฉพาะบัตรเครดิตกรุงศรี ซิกเนเจอร์ ที่มาพร้อมกับสิทธิประโยชน์เหนือระดับ มิติใหม่แห่งการใช้จ่าย

จุดเด่นของบัตรเครดิตกรุงศรี ซิกเนเจอร์

- สะสมคะแนนกรุงศรีพอยต์ได้สูงสุด 5 เท่า เมื่อช็อปครบ 10,000 บาท/หมายเลขบัญชีบัตรหลัก/เซลล์สลิป (จำกัดการให้คะแนน 1,600 คะแนน/เซลล์สลิป) และจำกัดการให้คะแนนสูงสุด 16,000 คะแนน/หมายเลขบัญชีบัตรหลัก/เดือนจากการใช้จ่ายทุก ๆ 25 บาท ทั้งที่ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าออนไลน์และร้านอาหาร บุฟเฟต์โรงแรม
- รับเครดิตเงินคืนทันที 3%* ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ที่ร่วมรายการ เมื่อเติมน้ำมันครบทุก 800 บาท/เซลล์สลิป
- ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสม 300,000 บาทขึ้นไปในแต่ละปีปฏิทิน
- บริการผู้ช่วยส่วนบุคคลและบริการช่วยเหลือฉุกเฉินภายในบ้าน ตลอด 24 ชม.และบริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉินบนท้องถนนและบริการรถยกและรถลาก
- ชำระเบี้ยประกัน รับคืนสุดคุ้ม รับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 28,000 บาท
- สิทธิพิเศษและส่วนลดมากมาย จากร้านค้า นาฬิกาออกกำลังกาย และบริการชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ

สิทธิประโยชน์และโปรโมชัน
- แลกพอยต์เท่ายอดใช้จ่ายรับส่วนลดทันที 15% ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ
- ส่วนลด 10 – 25 % สำหรับร้านอาหารและห้องอาหาร บุฟเฟต์โรงแรม ในเครือโรงแรมชั้นนำ
- ส่วนลด 10 – 20 % สำหรับค่าห้องพักโรงแรมชั้นนำ
- รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 10% เมื่อใช้จ่ายที่ร้านอาหารชั้นนำที่ร่วมรายการ
- รับสิทธิพิเศษในการใช้บริการห้องรับรอง DragonPass Lounge
- โปรโมชั่นบัตรเครดิต รับส่วนลดสูงสุด 50% เมื่อซื้อบัตรชมภาพยนตร์ ที่โรงภาพยนตร์ เอ็มบาสซี ดิโพลแมทสกรีน พร้อมบริการเลานจ์
- วงเงินคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ สูงสุด 20 ล้านบาท
- สามารถเบิกถอนเงินสดได้สูงสุด 100% ของวงเงินที่ได้รับ
- Krungsri Smart Plan แผนชำระผ่อนสินค้าดอกเบี้ยต่ำ โดยแบ่งจ่ายเป็นรายเดือน โดยมีระยะเวลาในการผ่อนนานสูงสุด 10 เดือน
- สามารถใช้บัตรเครดิตในการจ่ายบิลค่าน้ำ, ค่าไฟ และค่าอุปโภค บริโภคได้

สะสมคะแนนและใช้คะแนน
ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตกรุงศรี ซิกเนเจอร์ ทุก ๆ 25 บาท รับกรุงศรีพอยต์ 1 คะแนน
ทุก ๆ 1,000 คะแนน มีค่าเท่ากับ 100 บาท สามารถนำไปแลกเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าและบริการ กับร้านค้าที่ร่วมรายการมากกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ

คุณสมบัติผู้สมัคร
อายุ 20 - 65 ปีบริบูรณ์
มีเบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่ทำงานที่สามารถติดต่อได้
กรณีทำงานมีเงินเดือนประจำ
รายได้ประจำ 70,000 บาทต่อเดือน
เอกสารประกอบการพิจารณา
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (ด้านหน้า และด้านหลังโดยแสดงตัวเลขเลเซอร์หลังบัตรชัดเจน)
สลิปเงินเดือนที่พิมพ์จากคอมพิวเตอร์ หรือหนังสือรับรองรายได้เดือนล่าสุด
สำเนาหน้าแรกของบัญชีธนาคารและส่วนที่เป็นบัญชีเงินเดือนเข้านับจากปัจจุบันย้อนหลัง 6 เดือน
กรณีประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือเจ้าของธุรกิจ
มีกระแสเงินหมุนเวียนบัญชีขาเข้าย้อนหลัง 6 เดือน นับจากเดือนปัจจุบัน ขั้นต่ำเดือนละ 1,400,000 บาทขึ้นไป
บัญชีเปิดมานานกว่า 1 ปี
จดทะเบียนการค้า/บริษัท/ห้างหุ้นส่วน ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
วงเงินและดอกเบี้ยของบัตรเครดิต กรุงศรี ซิกเนเจอร์
วงเงินที่ได้รับ 2-5 เท่า ของรายได้
ดอกเบี้ย 15% ต่อปี
ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน 1% ต่อปี
อัตราการผ่อนชำระคืนขั้นต่ำ 10% หรือ 500 บาท
อัตราค่าธรรมเนียมในการเบิกถอนเงินสด 3% ของยอดจำนวนเงินสดที่เบิกถอน
ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยเมื่อชำระเงินคืนเต็มจำนวน 50 วัน
สามารถสมัครบัตรเสริมได้สูงสุด 4 ใบ

ค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิต กรุงศรี ซิกเนเจอร์
ฟรี ค่าแรกเข้าปีแรก ทําบัตรเครดิต
ฟรี ค่าธรรมเนียมรายปี เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสม 300,000 บาทขึ้นไปในแต่ละปีปฏิทิน
หากคุณกำลังมองหาบัตรเครดิตที่ให้สิทธิประโยชน์เหนือระดับและโปรโมชันสุดคุ้มค่า บัตรเครดิตกรุงศรี ซิกเนเจอร์ คือหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะสิทธิพิเศษมากมายที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้จ่าย ทั้ง กิน ช็อป นาฬิกาออกกำลังกาย  เที่ยวและประกันชีวิต เพื่อที่คุณจะได้สัมผัสกับมิติใหม่แห่งการใช้จ่ายที่คุ้มค่าและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
หากสนใจ ทําบัตรเครดิต สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่   พร้อมโปรโมชั่นต่าง ๆ มากมายได้ที่ https://www.krungsricard.com/th/promotion/category/signature
สอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมหรือสมัครบัตรเครดิตกรุงศรี ซิกเนเจอร์ได้ที่ธนาคารกรุงศรีทุกสาขา หรือติดต่อบัตรเครดิตกรุงศรี โทร 026463555




13
          เลิกงานแล้วอยากหารายได้เสริมแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี? ไอเดียทำอาหารขายออนไลน์ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะไม่ต้องลงทุนเยอะ แถมยังทำควบคู่กับงานประจำได้อีกด้วย แต่จะขายอาหารอะไรดี ค้าขายบูชาอะไรดี ให้ปัง คนสั่งเยอะ คำถามนี้คงวนเวียนอยู่ในใจของหลาย ๆ คน เราจึงอยากพาทุกคนไปสำรวจไอเดียที่น่าสนใจสำหรับคน อยากเปิดร้านขายน้ำเล็กๆ หรือร้านอาหารเล็ก ๆ ของตัวเองว่าจะขายอะไรให้ปัง

5 ไอเดียน่าสนใจสำหรับคนอยากรู้ว่าจะ ขายอาหารอะไรดี

1. อาหารตามสั่ง
ไอเดียแรกสำหรับคนอยากหารายได้เสริมด้วยการ สมัครร้านค้า grab เพื่อเปิดร้านอาหารก็คือการขายอาหารตามสั่ง ลองทำรายการอาหารแบบง่าย ๆ เน้นจานด่วนยอดฮิตของคนไทยอย่างผัดกะเพรา ข้าวผัด ผัดพริกแกง ผัดน้ำมันหอย เป็นอาหารที่ขายง่ายและขายได้ทุกวัน

2. ข้าวไข่ข้นทรงเครื่อง
ใครกำลังหาไอเดียอาหารทำง่าย ใช้วัตถุดิบไม่เยอะ คุมต้นทุนง่ายเหมาะกับมือใหม่ เมนูข้าวไข่ข้นทรงเครื่องก็เป็นหนึ่งในไอเดียน่าสนใจ ที่สำคัญลูกค้ายังสามารถเพิ่มหรือลดท็อปปิ้งได้ตามใจ เพิ่มความหลากหลายให้เมนูไข่ข้นของเราน่าสนใจมากขึ้น เช่น ไข่ข้นหน้าหมูสับ กุ้งสับ ผักรวม เป็นต้น

3. กรีกโยเกิร์ตและผลไม้รวม
ไอเดียทำอาหารขายออนไลน์ ที่กำลังมาแรงก็คือเทรนด์อาหารสุขภาพ โดยเฉพาะกรีกโยเกิร์ตโฮมเมด ทำง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เพิ่มท็อปปิ้งอย่างผลไม้รวม กราโนล่า ถั่ว ธัญพืช หรือน้ำผึ้ง ที่สำคัญอย่าลืมจัดหน้าตาอาหารให้สวยงามเพื่อเป็นจุดเด่นทำให้ลูกค้าประทับใจด้วย

4. ขนมเบเกอรี
ใครชอบอบขนมลองมาเปิดร้านเบเกอรีเล็ก ๆ ของเราเองเพื่อหารายได้เสริมผ่านการ สมัครร้านค้า grab ก็เป็นอีกไอเดียน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำครัวซองต์ ครอฟเฟิล วาฟเฟิล เค้ก คุกกี้ บราวนี่ หรือขนมอบอื่น ๆ ขายคู่กับชาและกาแฟเพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งได้พร้อมกัน ถือเป็นการเพิ่มรายได้ต่อหนึ่งออเดอร์ได้อีกทาง

5. ชา กาแฟ น้ำปั่น
ใครอยาก เปิดร้านกาแฟเล็กๆ ของตัวเองแต่ไม่มีทุนเช่าหน้าร้าน การขายแบบออนไลน์ผ่านแกร็บคือทางออก เพราะเราสามารถทำเป็นอาชีพเสริมหลังเลิกงานหรือวันหยุดได้ ไม่ต้องลงทุนเยอะ ออกแบบเมนูได้สร้างสรรค์ตามใจชอบ แถมยังเป็นเมนูขายง่าย เหมาะกับอากาศร้อนเมืองไทย ทำให้มีลูกค้าสั่งตลอดแน่นอน

ใครอยากรู้ว่าจะ ขายของกินอะไรดีเพื่อหารายได้เสริมหลังเลิกงานก็คงได้ไอเดียไปปรับใช้ตามความชอบและความถนัดของตัวเองกันแล้ว ที่สำคัญอย่าลืม สมัครร้านค้า grab ที่แอป GrabMerchant เพื่อเป็นพาร์ทเนอร์แกร็บ ทำให้เราสามารถเปิดร้านออนไลน์ของตัวเองและมีช่องทางการขายที่สะดวก เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่ สร้างรายได้เสริมเป็นอาชีพที่สองได้ตามที่ฝัน



14
ประเทศญี่ปุ่นติดอันดับประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่ละเดือนของญี่ปุ่นก็มีความน่าเที่ยวที่แตกต่างกัน แต่ว่าเราจะไป เที่ยวญี่ปุ่นเดือนไหนดี วันนี้มีข้อมูลมาแนะนำก่อนวางแผนทริปท่องเที่ยว

เที่ยวญี่ปุ่นฤดูใบไม้ผลิ
   ฤดูใบไม้ผลิของประเทศญี่ปุ่นอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคม  เป็นช่วงที่คนนิยมเดินทางไปเที่ยวมากที่สุด เพราะช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นมีอากาศที่เย็นสบาย อุณหภูมิโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 13-25 องศาเซลเซียส โดยไฮไลต์สำคัญคือการรอชมดอกซากุระบาน ต้นซากุระนั้นมีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นและจะค่อย ๆ บานจากตอนใต้ของประเทศไปจนถึงทางตอนเหนือในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ฮอกไกโด ดังนั้นหากอยากรู้ว่าจะไป เที่ยวฮอกไกโดเดือนไหนดี ก็ต้องบอกว่าเดือนพฤษภาคมคือเดือนที่น่าไปมากที่สุด เพราะสีชมพูของดอกซากุระจะบานสะพรั่งสวยงามไปทั่วฮอกไกโด
   นอกจากนี้จะมีเทศกาล AnimeJapan ถูกจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ต้องบอกเลยว่าสาวกอนิเมะญี่ปุ่นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

เที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน
   ฤดูร้อนของญี่ปุ่นเริ่มต้นที่ปลายเดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนสิงหาคมที่จะมีอากาศร้อนที่สุด แต่ก็ไม่ได้ร้อนมากเท่ากับประเทศไทย โดยกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมทำกันคือการพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิที่เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
   อีกเทศกาลก็คือเทศกาลฮานาบิไทไค (Hanabi Taikai) หรือเทศกาลดอกไม้ไฟ ในกรุงโตเกียว เป็นเทศกาลเก่าแก่ประจำปีที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะจนถึงปัจจุบัน โดยจะมีผู้คนไปรอชมกันอย่างเนืองแน่น

เที่ยวญี่ปุ่นฤดูใบไม้ร่วง
   ฤดุใบไม่ร่วงของญี่ปุ่นอยู่ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน แม้จะเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นมีสภาพภูมิอากาศที่เริ่มหนาวและมีพายุ แต่ก็ยังน่าท่องเที่ยวเพราะว่าช่วงนี้ที่จะมี ที่เที่ยวนาโกย่า ที่น่าสนใจ ซึ่งก็คือหุบเขาหุบเขาเกบิเคที่เต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่จะผลัดหลากสีให้ชมทั่วทั้งบริเวณ นอกจากนี้ยังสามารถเข้าชมปราสาทนาโกย่าที่เป็นโบราณสถานของญี่ปุ่น เป็นต้น

เที่ยวญี่ปุ่นฤดูหนาว
   ฤดูหนาวของญี่ปุ่นตรงกับช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ทั่วทั้งประเทศจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4-10 องศา เทศกาลสำคัญที่น่าสนใจคือเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยศาลเจ้าในญี่ปุ่นจะมีกิจกรรมทานเส้นโซบะในวันส่งท้ายปีเก่า คือ 31 ธนวาคม โดยเชื่อว่าหากได้ทานโซบะในวันนี้จะได้รับโชคดีในวันปีใหม่ตลอดไป เราเรียกกิจกรรมนี้ว่า  “โทชิโคชิโซบะ” ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ ก็อย่างเช่น การเล่นสกี แช่ออนเซ็น ก็น่าสนใจเช่นกัน

   ยิ่งถ้าหากเราได้สมัครบัตรเครดิตกรุงศรี เจซีบี เอาไว้ใช้งานแล้วล่ะก็ จะยิ่งทำให้ทริปเที่ยวญี่ปุ่นมีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะบัตรกรุงศรี เจซีบีนั้นมีสิทธิพิเศษ เช่น ห้องพักรับรองที่สนามบินญี่ปุ่น ส่วนลดร้านอาหารในญี่ปุ่น บุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น เครดิตเงินคืนจากการช็อปปิงในญี่ปุ่น  เป็นต้น โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsricard.com/th/Product/creditcard/krungsri-jcb  ไม่ว่าจะ เที่ยวญี่ปุ่นเดือนไหนดี ก็มีแต่ความสนุก




15
    ในยุคดิจิทัลที่การเข้าถึงข้อมูลและบริการทางการเงินเป็นเรื่องง่าย การขอเงินกู้ออนไลน์จึงกลายเป็นทางเลือกที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเงินด่วนหรือเงินทุนในการลงทุน อย่างไรก็ตาม การเลือกสินเชื่อที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากมีตัวเลือกมากมายที่มีเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงวิธีการเปรียบเทียบเงินกู้ออนไลน์เพื่อหาสินเชื่อที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

## 1. ทำความเข้าใจกับประเภทของเงินกู้ออนไลน์

ก่อนที่คุณจะเริ่มเปรียบเทียบการกู้เงินออนไลน์ ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของสินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็วที่มีอยู่ เช่น:

- **สินเชื่อส่วนบุคคล**: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินด่วนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- **สินเชื่อเพื่อการศึกษา**: สำหรับผู้ที่ต้องการเงินทุนในการศึกษา
- **สินเชื่อเพื่อธุรกิจ**: สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ

การรู้จักประเภทของสินเชื่อจะช่วยให้คุณสามารถเลือกสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการของคุณได้ดียิ่งขึ้น

## 2. เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย

อัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่คุณควรพิจารณาเมื่อเปรียบเทียบเงินกู้ออนไลน์ โดยทั่วไปแล้ว:

- **อัตราดอกเบี้ยคงที่**: จะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาการกู้ยืม
- **อัตราดอกเบี้ยลอยตัว**: อาจเปลี่ยนแปลงตามอัตราดอกเบี้ยตลาด

การเลือกอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

## 3. ตรวจสอบเงื่อนไขการกู้ยืม

เงื่อนไขการกู้ยืม เช่น ระยะเวลาการชำระคืน จำนวนเงินที่สามารถกู้ได้ และค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นสิ่งที่คุณควรตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถชำระคืนได้ตามที่กำหนด

## 4. อ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้จริง

การอ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ที่เคยสมัครสินเชื่อออนไลน์จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับประสบการณ์การใช้บริการของผู้ให้กู้แต่ละราย โดยสามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์รีวิวหรือฟอรัมต่างๆ

## 5. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ให้กู้

การเลือกผู้ให้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ควรตรวจสอบว่า:

- ผู้ให้กู้มีใบอนุญาตหรือไม่
- มีประวัติการให้บริการที่ดีหรือไม่
- มีการติดต่อที่ชัดเจนและสามารถเข้าถึงได้

## 6. ใช้เครื่องมือเปรียบเทียบออนไลน์

ในปัจจุบันมีเครื่องมือเปรียบเทียบเงินกู้ออนไลน์ที่สามารถช่วยให้คุณเปรียบเทียบเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่กรอกข้อมูลพื้นฐานของคุณ ระบบจะทำการแสดงผลสินเชื่อที่เหมาะสมที่สุดให้คุณเลือก

การเลือกเงินกู้ออนไลน์ที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณมีการวางแผนและเปรียบเทียบอย่างรอบคอบ โดยการทำความเข้าใจประเภทของสินเชื่อ เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย ตรวจสอบเงื่อนไขการกู้ยืม และอ่านรีวิวจากผู้ใช้จริง คุณจะสามารถหาสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการและสามารถชำระคืนได้อย่างสบายใจ

หากคุณกำลังมองหาสินเชื่อออนไลน์ อย่าลืมใช้เครื่องมือเปรียบเทียบออนไลน์เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินได้เสมอ!

 

หน้า: [1] 2